เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ก.พ. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วันสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ใช้ปัญญาก่อนทำสมาธิไง ใช้ปัญญาก่อนทำสมาธิเพราะว่าเห็นถาดทองคำลอยขึ้นไป พอเห็นถาดทองคำลอยขึ้นไปนี่ปัญญามันเกิด แล้วอธิษฐานว่านั่งแล้วจะไม่ลุกเลย เพราะว่าปัญญามันเกิดแล้ว คือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังจะสิ้นจากกิเลส จะพ้นจากกิเลส ถึงกล้าอธิษฐานว่านั่งแล้วไม่ลุก

นี่เขาตีความนะ เขาตีความในพระไตรปิฎก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยถาดขึ้นไปนี่ พอลอยถาดๆ มันทวนน้ำขึ้นไปทวนกระแส พอทวนกระแสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดปัญญาไง เกิดปัญญาทวนกระแส แต่! แต่บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ติดสมาธิอยู่ ๕ ปี ไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบสนี่ติดสมาธิ ๕ ปี ติดสมาธินี่ไม่มีปัญญา พอมีปัญญาแล้วนี่ถึงจะพ้นจากกิเลสไป แต่ความจริงเห็นไหม นี่การตีความ

ตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบสนี่ เพราะว่าตอนนั้นมรรคยังไม่เกิดในโลก มัคคะไม่เกิดในโลก โลกนี้ไม่มีมรรค ๘ ในความดำริชอบ ความเห็นชอบ ความเพียรชอบ การงานชอบ ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ พอยังไม่ปรากฏนี่คนยังใช้ไม่เป็น ถ้าคนใช้ไม่เป็นมันถึงว่าไปติดสมาธิอยู่ ๕ ปี ใครทำก็ต้องติดสมาธิเพราะว่าอะไร เพราะว่าศาสดาผู้สอนสอนได้เท่านี้ คนที่มีปัญญามีปัญญาเพียงเท่านี้ สอนได้แค่ใช้ปัญญา ความคิดไล่ต้อนเข้ามาให้ตัวเองสงบเท่านั้น แต่ปัญญามัคคะอริยสัจจัง มรรคที่เกิดขึ้นมา สมุจเฉทปหานกิเลสยังไม่เกิด ถึงติดสมาธิอยู่ ๕ ปี

แล้วมาอดอาหาร มาผ่อนอาหาร พอมาอดอาหารอยู่อีก ๔๙ วัน นั่นก็พ้นออกมา เห็นว่าทางอื่นไม่ใช่แล้ว มาทำนี้ก็ไม่ใช่ พอไม่ใช่วันสุดท้ายลอยถาดไป ลอยถาดไปน่ะมรรคมันก็ยังไม่เกิด เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ลอยถาดไป แล้วพอถาดนั้นลอยไปนี่ปัญญามันหมุนตามขึ้นไป

บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมตรงนั้น ว่าเห็นธรรมไง ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ถึงว่าพอมานั่งนี่มันเกือบจะสิ้นจากกิเลสแล้ว ก็อธิษฐานขึ้นมาพ้นจากกิเลสไป

มันจะมาค้านกันตรงนี้ ตรงที่มรรคยังไม่เกิด มรรคมันยังไม่มีเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มรรคมันไม่มี แล้วลอยถาดขึ้นไป ถาดทวนกระแสไป เพียงแต่เป็นการอธิษฐานไง คนเราอธิษฐานว่า ถ้าเราเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอให้ถาดนี้ลอยน้ำไป เป็นการเสี่ยงทายบารมีเห็นไหม ถึงจะเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาในความเห็นของโลก เป็นโลกียปัญญา มันยังไม่เกิดโลกุตตระหรอก เพราะมรรคมันยังไม่เกิด มรรคมันยังไม่มี ถ้ามรรคไม่มีนี่จะเป็นความเห็นถูกต้องได้อย่างไร

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ปัญญาตลอด สมาธิไม่มีความสำคัญ อานาปานสติ เห็นไหม กำหนดลมหายใจเข้า-ออก นี่ เป็นลมหายใจเข้า-ออกเพื่อทำความสงบของใจ เพื่อเป็นสัมมาสมาธิเห็นไหม เป็นสัมมาสมาธิเพื่อมาสมุจเฉทปหานกิเลส เป็นสัมมาสมาธิแล้วขึ้นไปนี่ ปฐมยาม นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นไหม นี่ไม่ใช่มรรค ถ้าไม่ใช่มรรคมันจะย้อนไปในอดีต จิตสงบไปแล้วจะย้อนกลับไปในอดีต มองไปอดีตไปเห็นว่าเราเกิดมาแล้วเคยตายมากี่ชาติๆ อดีตนี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่มรรคก็ยังไม่เกิดเห็นไหม

จุตูปปาตญาณ มัชฌิมายาม เห็นไหม ยามตอนกลาง ยามตอนเที่ยง นี่จุตูปปาตญาณ มรรคก็ยังไม่เกิด ถ้ามรรคไม่เกิดนี่มันส่งไปในอดีต-อนาคต มันส่งไปในอนาคตว่าสัตว์นี้ตายแล้วไปเกิดที่ไหน รู้ว่าสัตว์นี่ตายไปเกิดที่ไหน มรรคยังไม่เกิด จนอาสวักขยญาณเกิดขึ้น ปัจฉิมยาม ยามสุดท้าย นี่มรรคเกิดขึ้นท่ามกลางหัวใจ ปัญญาในการชำระกิเลสมันเป็นปัญญาอย่างนี้ไง ถ้าปัญญาอย่างนี้เป็นการชำระกิเลส เป็นภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาในทางสุตมยปัญญา สุตมยปัญญานี้คือการศึกษาเล่าเรียน คือการบอกกล่าวกัน นี่ปัญญาของโลกเป็นแบบนี้

จินตมยปัญญา ปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์กับพวกนักประพันธ์ เขาเขียนเรื่องมานี่ เราอ่านแล้วเราจะซึ้งใจมากเลย ทำไมมันจินตนาการได้ขนาดนั้น เขียนเรื่อง สร้างเรื่องขึ้นมานี่ จินตมยปัญญาจะจินตนาการไปๆ จินตมยปัญญาเป็นอย่างนั้น

ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมานี่ มรรคเกิดขึ้นตรงนี้เห็นไหม มรรคนี้เกิดขึ้นด้วย.. ต้องศีลก่อน เป็นศีลๆ บริสุทธิ์ทำให้เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินี้เป็นเครื่องหนุน ตัวสมาธิเองไม่สามารถชำระกิเลสได้ ความสงบของใจเห็นไหม นี่อานาปานสติทำความสงบเข้ามานี่ปฐมยาม ย้อนกลับไปรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณนี่มันพลังงานของใจไง พลังของจิต จิตมันเคลื่อนไป มันเป็นไป มันหมุนไป มันออกไป มันได้แค่นั้น มันไม่ใช่มรรค มันไม่มีธรรมจักร

ธรรมจักร จักรที่เกิดขึ้นจากหัวใจนี่มันจะหมุนกลับมาชำระกิเลส มันต้องเป็นสัมมาสมาธิก่อน สัมมาสมาธิจะหนุนขึ้นไป เราคิดกันเอง นักวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์ เห็นไหม ไอน์สไตน์เวลาตายไปเสียใจมากว่า เขาไม่สามารถประพฤติปฏิบัติได้ เพราะเขายังไม่ถึงที่สุด นี่ปัญญาของเขา นักวิทยาศาสตร์คิดได้ขนาดนั้นเห็นไหม นี่ปัญญาเป็นอย่างนั้น

ถ้าปัญญาเป็นปัญญาอย่างที่เราคิดกันนี่ มันก็เหมือนปัญญาของปลา ปลาอยู่ในน้ำนี่มันรู้ได้แค่วงของน้ำ แต่เต่าเห็นไหม เต่ามันอยู่บนบก มันลงไปบอกปลาบอกว่าบนบกมีอะไรอีกมากมายเลย ปลามันไม่เชื่อหรอก ความคิดของเราๆ จะยึดมั่นถือมั่นว่าเรานี่เป็นปลา ความคิดของเรามันจะรู้เรื่อง มันจะสามารถเข้าใจได้ แต่เราไม่เคยเห็นบนบก เราจะไม่เข้าใจเรื่องคนบนบกเลย เป็นไปไม่ได้เลย เรื่องคนบนบกเห็นไหม มันต้องแบบว่าคนที่ไปเห็นบนบกแล้วจะพูดถึงบนบก เห็นบนบก เห็นเห็นไหม แต่ถ้าเต่ามันเล่าเห็นไหม เต่าก็เห็น แต่ปลาเชื่อไม่เชื่อ เพราะปลาไม่เคยเห็น ปลาไม่เคยเห็นปลาก็ไม่เชื่อปัญญาอย่างนั้น

ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นจากในหัวใจของสัตว์โลกนี่ มันจะเกิดขึ้นด้วยสัมมาสมาธิ ด้วยความคิดใคร่ครวญเข้าไป ปัญญาอย่างนั้นมันชำระกิเลสเห็นไหม สมุจเฉทปหานกิเลสได้ แต่ปัญญาอย่างเรานี่ชำระกิเลสไม่ได้ เพราะปัญญาเราคิด เราใคร่ครวญของเรา เราจะไม่สามารถชำระกิเลสได้ แล้วจะไม่เคยเห็น ถ้าเคยเห็น นี่จิตของเรานี่เกิดตายๆ ในวัฏฏะ ตั้งแต่นรกอเวจีขึ้นมา จิตดวงนี้เคยเกิดเคยตายมาตลอด มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดหมดเห็นไหม เว้นไว้แต่พรหม ๕ ชั้นที่ว่าพระอนาคามีขึ้นไป จิตดวงนี้จะไม่เคยไปเกิด ถ้าจิตดวงนี้ไปเกิดแล้วมันจะไม่กลับลงมาอีก

ปัญญาอย่างนี้ก็เหมือนกัน ปัญญาอย่างที่เราเห็นนี่ ถ้าเราเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมานี่เราจะสามารถชำระกิเลสได้ พอชำระกิเลสได้มันสมุจเฉทปหานออกไปแล้วมันจะไม่กลับมาอีกเห็นไหม มันไม่กลับมาถึงว่าเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมคือธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจของสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย ความเจริญทั้งหลาย ความเข้าใจทั้งหลายนี่มันเป็นความจำมานี่ มันเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วมันจะเสื่อมไป มันจะลืมไป แล้วมันจะจำขึ้นมาใหม่

สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี่แปรสภาพทั้งหมด สรรพสิ่ง แม้แต่ทำสัมมาสมาธิ ทำอะไรขึ้นมานี่ มันจะแปรสภาพ มันจะเสื่อมสภาพทั้งหมด สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่มันเป็นปัญญาของโลกเขา มันเป็นสัจธรรมที่เราจะคิดได้ เราใคร่ครวญได้ แต่มันแปรสภาพ เห็นไหม แต่อันนั้นน่ะเป็นอริยสัจ สิ่งที่เป็นอริยสัจเข้าไปชำระกิเลสแล้ว อริยสัจนี้ฝังใจ

พระอรหันต์ลืมในอะไร? พระอรหันต์ลืมในบัญญัติ ลืมในสมมุติ แต่พระอรหันต์จะไม่ลืมในอริยสัจเลย อริยสัจความในใจเห็นไหม ใจมันกระเพื่อมไปมันจะรู้ทัน สติสัมปชัญญะจะพร้อมไปในหัวใจ พระอริยบุคคลแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่ จะไม่มีวันคลาดเคลื่อนจากธรรมในหัวใจ จากอกุปปธรรมในหัวใจนั้นจะไม่คลาดเคลื่อนเลย แต่ลืมเห็นไหม สวดมนต์ก็หลงได้ ก็ลืมได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นบัญญัติ มันใช้สังขาร มันใช้สัญญาความจำ ความจำนี้มันเป็นเครื่องมือ เครื่องมือมันเสื่อมสภาพได้เห็นไหม

พระอรหันต์นี่ลืมในสมมุติสัจจะ ลืมในคำพูดไง นาย ก นาย ข นี่ อาจจะเรียกนาย ก นาย ข สับเปลี่ยนเพราะมันหลงลืมได้ หลงลืมในการใช้เครื่องมือใช้ แต่ไม่หลงลืมในอริยสัจ ไม่หลงลืมในความเป็นจริง สิ่งนี้จะไม่มีความคลาดเคลื่อนในหัวใจนั้นเด็ดขาด ในหัวใจนี้จะคงที่คงวาตลอดไป แล้วจะไม่มีวันตาย จิตนี้ถึงไม่เคยตายเห็นไหม มันเข้ากันได้ว่าจิตนี้ไม่เคยตาย หมุนเวียนตายเวียนเกิดตลอดมาวัฏวนนี่ แม้แต่ทำกิเลสสิ้นไปจากใจแล้วจิตนี้ก็ไม่เคยตาย แล้วไม่เกิดอีกด้วยเพราะไม่มีอวิชชาพาเกิด

เรานี่มันทุกข์ยากกันเพราะพาเกิดเห็นไหม ปัญญามันจะเกิดขึ้นมันเป็นปัญญาอันนั้น เราไม่สามารถคาดเดาได้ ในธรรมะนี้บอกไว้แล้วเห็นไหม ธรรมะนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรม แต่เราปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม เราปฏิบัติๆ แต่เปลือกนอก เปลือกนอกเปลือกของส้ม เราจะกินส้มเราต้องแกะเปลือกส้มเข้าไป แต่ส้มนี่มีเปลือก ถ้าไม่มีเปลือกส้มจะอยู่ไม่ได้โดยธรรมชาติของมัน

ขันธ์ ๕ เป็นเปลือกของใจ สัญญา สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง นี่เป็นเปลือกของใจ ไม่ใช่ตัวใจ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิตนะ จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ จิตกับขันธ์ ๕ เป็นคนละส่วนกัน แต่ขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมือของจิตออกสืบรู้ไป นี่ความคิดของเราแค่เปลือกไง ความคิดของปุถุชนนี่คิดได้แค่เปลือกส้ม ความคิดของปุถุชนไม่เคยได้ลิ้มรสของเนื้อส้ม เนื้อส้มหวาน หอม อร่อย แต่เปลือกของส้มขม ความคิดของเราเหมือนกัน เราคิดใคร่ครวญของเราอยู่ขนาดไหน มันจะใคร่ครวญอยู่ขนาดนั้น มันจะเข้าไปถึงไม่ได้เห็นไหม ถึงต้องทำความสงบของใจเพื่อเข้าไปถึงเนื้อของใจ นี่ภาวนามยปัญญาเกิดจากตรงนั้น แต่ก็อาศัยขันธ์ออกไปเวลาก้าวเดินไป

นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตา ถึงว่าไม่ใช่ของผิดถูกนะ มันเป็นของนับหนึ่ง สอง สาม ถ้าหนึ่งขึ้นมานี่ มันต้องหยาบขึ้นมาก่อน ถ้าไม่มีหยาบเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนผู้มีกิเลสนะ พระอรหันต์นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องสอน เพราะเอาตัวรอดได้หมดแล้ว สอนคนที่มีกิเลส คนที่มีกิเลสต้องนับหนึ่งจากใจของตัวเอง ถ้านับหนึ่งจากใจของตัวเอง ต้องเอาความหยาบนั้น ให้ถือศีลก่อน ถ้าไม่มีศีลมันคิดไปทางโลก

มิจฉาสมาธิ สมาธิเกิดขึ้นมาแล้ว ความตั้งใจของโจร ของพวกมาร จะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องใช้ความไตร่ตรอง ใช้ความคิด เห็นไหม พวกโจร พวกคิดลักขโมยนี่ มันคิดได้แยบยลจนเราคิดไม่ทันมัน ความคิดนั้นไม่ใช้สมาธิเหรอ ใช้สมาธิความตั้งใจมั่น แต่ตั้งใจโดยมิจฉา เห็นไหม ถึงต้องมีศีลไง ศีลนี้จะทำให้สมาธิเราปกติ สมาธิเราไม่คิดในการเบียดเบียนเพราะศีล ๕ เห็นไหม นี่สัมมาสมาธิ ศีลถึงสำคัญตรงนี้ไง สำคัญตรงเริ่มต้นจะเบี่ยงให้สมาธิเราเข้าไปถูกต้อง ให้สมาธิเราเข้ามาในทางสัมมาสมาธิ แล้วพอมีสัมมาสมาธิเห็นไหม เกิดขึ้นนี่สัมมาสมาธินั้นคือเนื้อของส้ม แต่เนื้อของส้มนี่มันต้องอาศัยการยกเข้าปาก เห็นไหม การเอาเนื้อส้มเข้าปาก เครื่องมือของมัน เครื่องมือของมันมรรค ๘ เห็นไหม เนื้อของส้มวางอยู่ อาหารวางอยู่ เราไม่เอาใส่ปากเรา เราจะไม่รู้รสของอาหารเลย

ทำสัมมาสมาธินี่พร้อมแล้ว แต่ไม่ปรุงเป็นอาหารขึ้นมา ไม่ปรุง ไม่วิปัสสนา ไม่ยกขึ้นวิปัสสนา ไม่เกิดปัญญาในภาวนามยปัญญา ไม่เกิดภาวนามยปัญญามันก็ไม่สามารถชำระกิเลสได้

เขาบอกว่า สัมมาสมาธิไม่สามารถชำระกิเลสได้

จริง สัมมาสมาธิไม่สามารถชำระกิเลสได้ แต่สัมมาสมาธิเป็นเครื่องหนุน เป็นอุปกรณ์ เป็นอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิอยู่เป็นโลกียะ เป็นความคิดในเปลือกของส้ม ในเปลือกของส้มกับเนื้อของส้มก็ต่างกันแล้ว เพียงแต่ยกเข้าปากไม่ยกเข้าปากนี่ ยกเข้าปากไม่ยกเข้าปากถ้าเราเห็นถูกมันก็เห็นง่ายใช่ไหม แต่ความคิดของเรานี่ วิปัสสนานี่วิปัสสนาในกาย ปัญญาอย่างนี้ต่างหากคือปัญญาชำระกิเลส มันถึงยกไว้เห็นไหม

สุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียนธรรมนี้ต้องศึกษา ไม่ศึกษาปริยัติ ไม่มีปริยัติปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต้องมีปริยัติก่อน ปริยัติอะไร? เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วพยายามใคร่ครวญ อันนี้พอแล้วปริยัตินี่ ทะลุตรงนี้เข้าไป พอเวลาปฏิบัติขึ้นไปปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธเกิดขึ้นมาจากการวิปัสสนาของเรา นี่วิปัสสนา แต่ก่อนจะเกิดปฏิเวธนี่มันต้องอาศัยทุกๆ อย่างใคร่ครวญขึ้นมา จนถึงที่สุด จนภาวนามยปัญญาใคร่ครวญจนกิเลสมันขาดไป นั่นน่ะปฏิบัติสมควรแก่ธรรม

ถ้าเราปฏิบัติธรรมด้วยการคาด ด้วยการหมาย ด้วยการเทียบเคียง เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมด้นเดาธรรม จะเป็นธรรมะด้นเดา จะไม่สามารถทะลุถึงกิเลสได้เลย แต่ปฏิบัติโดยภาวนามยปัญญานี่สามารถทะลุถึงกิเลสได้ ชำระกิเลส พ้นจากกิเลสไป นี่คือปัญญาในศาสนาไง ปัญญาในการรู้จริงในศาสนาพุทธที่เราสนใจ เราใคร่ครวญกัน อันนี้ต่างหาก เอวัง